วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ปฐมบทสุขาภิบาลท่าฉลอม


ภาพที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดแพรเปิดถนนถวาย
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า-)

ในปีร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชดำริในการกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่นขึ้น โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ           ร.ศ. ๑๑๖” และได้เริ่มทำการทดลองเพื่อเป็นการศึกษาขึ้นในกรุงเทพมหานคร

 หน้าที่ของสุขาภิบาลชั้นต้น
๖.๑.๑ การทำลายขยะมูลฝอย
๖.๑.๒ การจัดเก็บที่ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะของประชาชนทั่วไป
๖.๑.๓ จัดการอย่าให้ปลูกสร้างหรือซ่อมโรงเรือนที่จะเป็นเหตุให้เกิดโรค
๖.๑.๔ การขนย้ายสิ่งของโสโครกและสิ่งสำเน่าเหม็นของมหาชนให้พ้นไป
การบริหารงานของสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นี้ดำเนินการโดยเข้าจัดการทั้งหมดประกอบด้วยกรมสุขาภิบาลสังกัดกระทรวงนครบาลเป็นเจ้าหน้าที่โดยใช้วิธีประชุมกันเป็นครั้งคราวไป จากการกำหนดนัดหมายของเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าเห็นสมควรเมื่อใด ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนายแพทย์สุขาภิบาล พนักงานช่างใหญ่ สุขาภิบาลเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเมื่อพิจารณารูปแบบการปกครองแล้ว จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าสุขาภิบาลกรุงเทพ ร.ศ. ๑๑๖ เป็นการปกครองท้องถิ่นเนื่องจากประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใดเป็นการดำเนินการโดยข้าราชการทั้งหมดและใช้จ่ายจากงบประมาณส่วนกลาง... แต่สุขาภิบาลท่าฉลองหาเป็นเช่นนั้นไม่มีความสมบูรณ์ในรูปแบบการกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นมากกว่าและทรงประกาศด้วยพระองค์เอง
ทรงพระราชทานโอกาสให้ประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นเป็นครั้งแรกโดยเหตุที่มาจากคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพในฐานะผู้รับผิดชอบเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่ทรงได้รับพระราชปรารถตำหนิจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองนครเขื่อนขันฑ์ ทอดพระเนตรสภาพตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์สกปรกมากจากนั้นได้ทรงมีพระราชดำรัสในที่ประชุมเสนาบดีว่าโสโครกเหมือนกับตราท่าจีน (คือตลาดท่าฉลอม) ซึ่งเคย เสด็จประภาสต้นในปีพ.ศ. ๒๔๔๗ จึงเป็นมูลเหตุให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพร้อนพระทัยมากทรงคิดหาวิธีการพัฒนาตำบลท่าฉลอม ร่วมกับพระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครดังหลักฐานปรากฏประวัติศาสตร์ทางการปกครองดังนี้ (เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า๓๑)
อนึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จแก่ ข้าราชการเมืองสมุทรสาคร ความชอบที่ได้จัดการสุขาภิบาลตำบลท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครคือพระราชทานเครื่องอิศริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ ๔ ภูษนาภรณ์แก่พระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครดวงหนึ่งและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยทำประทวนตราพระสีห์ ตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครซึ่งได้เกี่ยวข้องจัดการสุขาภิบาลด้วยดังนี้คือ
   ๑. ขุนประเทศภักดี (หรั่ง) กำนันตำบลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร เป็นหลวงพัฒนการภักดีตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๔๐๐ ไร่
   ๒. จีนเบียน กรมการพิเศษเมืองสมุทรสาครเป็นคนพิจิตรนรการ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
   ๓. จีนแดง ผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครถือศักดินาเป็นขุนพิจารณ์นรกิจ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
   ๔. จีนยี้ ผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครเป็นคุณพินิจนรการ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
หลังจากเสด็จเปิดถนนถวายแล้วได้พระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ทางช้างเผือกชั้นที่ ๔              ภูษนาภรณ์แก่พระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยทำประทวนตราพระราชสีห์ ตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสุขาภิบาลครั้งนี้ด้วย
การบริหารงานสุขาภิบาลเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจริงจังขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อมีพระราชวงศ์การประกาศแก้ภาษีโรงร้านจัดการสุขาภิบาลที่ตลาดท่าฉลอมโดยยกเงินภาษีโรงร้านที่เก็บได้ในพื้นที่นี้พระราชทานให้ไว้สำหรับการรักษาซ่อมแซมถนนหนทางการจุดโคมและรักษาความสะอาดซึ่งเรียกรวมกันว่าการสุขาภิบาลมีโครงสร้างเบื้องต้นดังนี้
   ๑.  มีการตัดเขตสุขาภิบาลที่ แน่ชัดดำเนินการโดยเทศาภิบาลเป็นผู้กำหนดท้องที่ที่จะได้รับประโยชน์จากสุขาภิบาลนี้
   ๒.  เริ่มเก็บภาษีโรงร้านตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๕ เป็นต้นไป กล่าวคือ บ้านเรือน โรงที่ใช้เก็บสินค้าหรือค้าขายให้เก็บภาษีโรงร้านปีหนึ่งห้องละ ๓ บาทหากมิได้เก็บสินค้าหรือค้าขายเก็บปีหนึ่งห้องละ ๖ บาท
   ๓.  ภาษีนี้หักค่าใช้จ่ายเพียงค่าจัดเก็บภาษีเท่านั้นที่เหลือให้นำไปใช้ในกิจการสุขาภิบาลทั้งหมด
   ๔.  ควรใช้เงินภาษีลงร้านในขอบเขต ๔ ประการคือ
        ๔.๑  การซ่อมแซมรักษา ถนนหนทางในเขตสุขาภิบาลให้ผู้คนสัญจรไปมาได้สะดวก
        ๔.๒  รักษาความสะอาดในเขตสุขาภิบาล
        ๔.๓ การจัดคงไปตามถนนในเขตสุขาภิบาลให้คนเดินไปมาในเวลาค่ำคืนได้สะดวก
        ๔.๔ การอย่างอื่นอันเป็นประโยชน์สำหรับบำรุงความสุขสำราญของมหาชนในที่อันนั้น
   ๕.  ผู้รับผิดชอบดำเนินงานสภาภิบาลคือกำนันในฐานะนายตำบลของตลาดท่าฉลอมเป็นประธานและผู้ใหญ่บ้านในเขตท้องที่เป็นกรรมการช่วยกันบริหารงาน
   ๖.  อำนาจหน้าที่ของกรรมการสุขาภิบาลแห่งแรกนี้ประกอบด้วย
        ก. จัดการสุขาภิบาลในเขตรับผิดชอบได้ทุกเรื่องตามคำอนุมัติของเทศาภิบาล
        ข. มีอำนาจหน้าที่จะจ่ายเงินอันได้รับพระราชทานและพระบรมราชานุญาต โดยคณะกรรมการเห็นชอบสำหรับใช้ในกิจการสุขาภิบาลได้ตามสมควรเจ็ดเทศาภิบาลมีอำนาจที่จะตรวจและแนะนำการดำเนินการโดยสามารถทักท้วงห้ามปรามหากทำผิดระเบียบทางราชการ
สุขาภิบาลท่าฉลอมจึงนับเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับพระบรมราชานุ-สาวรีย์ พระเจ้าอยู่หัวให้ดำเนินการได้ซึ่งได้เป็นแม่แบบแก่สุขาภิบาลแห่งอื่น ในเวลาต่อมากรรมการสุขาภิบาลชุดแรกในประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทยเกิดขึ้น
ดังนั้นในปีพ.ศ. ๒๔๕๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลพ.ศ. ๒๔๕๑ (ร.ศ. ๑๒๗) ขึ้นนับเป็นกฎหมายฉบับแรกที่วางรูปแบบของสุขาภิบาลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแบ่งสุขาภิบาลเป็น ๒ ประเภทคือ
  ๑.  สุขาภิบาลสำหรับหัวเมืองจัดตั้งขึ้นในท้องที่อันเป็นที่ตั้งของเมือง
  ๒.  สุขาภิบาลสำหรับตำบลจัดตั้งในท้องที่อันเป็นชุมชนใหญ่ๆ ในตำบลนั้นๆ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสุขาภิบาลท้องที่) วิธีการจัดตั้งสุขาภิบาลนั้นกำหนดขึ้นโดยข้าหลวงเทศาภิบาลเห็นควรตั้งขึ้น ณ ที่ใดก็จะหารือกับกำนันผู้ใหญ่บ้านในท้องที่นั้นร่วมกันพิจารณาหากมี มติเห็นชอบก็ให้มีใบบอกกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อดำเนินการดังที่สุขาภิบาลท่าฉลอมกระทำและมีคณะกรรมการสุขาภิบาล ๙ คนโดยมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นประธานสุขาภิบาล ได้พัฒนาการขึ้นเป็นลำดับมีการเพิ่มภารกิจและหน้าที่อย่างมากยิ่งขึ้น มีอำนาจบังคับตามกฏหมายหลายประการและเริ่มขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
(เทศบาลนครสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า๕๒-๕๓)

ท่าเรือข้ามฟาก มหาชัย – ท่าฉลอม

          

            ภาพที่ ๒๔ ท่าเรือมหาชัยสู่ท่าฉลอม
               (ที่มา : สำนักงานจังหวัดสมุทรสาครมปปหน้า ๑๒)

สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในการเดินทางระหว่างท่าเรือมหาชัยไปยังท่าเรือท่าฉลอมที่อยู่อีกฟากหนึ่งซึ่งหากเดินทางด้วยทางรถยนต์จะต้องขับอ้อมไปไกลมาก การเดินทางระหว่างท่าทั้ง ๒ นี้ด้วยทางเรือจึงเป็นการเดินทางที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนกระทั่งทุกวันนี้ ดังเพลงที่ได้ยินกันมานานแล้วเพลงนี้

เพลง ท่าฉลอม
ผู้ขับร้อง ชรินทร์ นันทนาคร                         
...พี่ อยู่ไกลถึงท่าฉลอม แต่พี่ไม่ตรอมเพราะรักพยอม ยาม ยาก
ออกทะเล จะหาปลา มาฝาก แม่คุณขวัญใจคนยาก รับของฝากจากพี่ได้ไหม
โปรด เมตตารักพี่สักนิด พี่มอบชีวิตอุทิศให้สาว มหาชัย
แบกความรัก ข้ามทะเล มา ให้ ฝ่าลมและคลื่นเท่าไหร่ รักจึงได้ว่ายน้ำข้ามมา
 ท่าฉลอม กับมหา ชัย จะคิดทำไมว่าไกล เชื่อมความรักไว้ดีกว่า
บอกเพียงสักคำ ว่าไม่รักจะหักใจลา ซ่อนตัวตามประสา จะหนีซ่อนหน้า ห่าง ไกล
 เรื่อง ทะเลนั้นพี่พอรู้ แต่เรื่องเจ้าชู้ไม่รู้จะทำ ฉันใด
หยั่งทะเลพอคะเน ดู ได้ แต่ความรักเกินครวญใคร่ ลึกเท่าไหร่ไม่รู้หยั่งถึง
 ท่าฉลอม กับมหาชัย จะคิดทำไมว่าไกล เชื่อมความรักไว้ดีกว่า
บอกเพียงสักคำว่าไม่รักจะหักใจลา ซ่อน ตัวตามประสา จะหนีซ่อนหน้า ห่าง ไกล
 เรื่อง ทะเลนั้นพี่พอรู้ แต่เรื่องเจ้าชู้ไม่รู้จะทำ ฉันใด
หยั่งทะเล พอคะเน ดู ได้ แต่ความรักเกินครวญใคร่ ลึกเท่าไหร่ไม่รู้ หยั่งถึง

นอกจากนี้ท่าเรือมหาชัยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอยู่ใกล้เคียงกันได้แก่ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ป้อมวิเชียรโชฎกตลาดสดมหาชัย วัดป้อมวิเชียรโชติการาม เป็นต้น 

                 

                                             ภาพที่ ๒๕ เรือจอดเทียบท่าที่ท่าฉลอม
                   (ที่มา เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒หน้า ๑๕)

โดยเรือโดยสารจะจอดรอผู้โดยสารอยู่ที่บริเวณร้านอาหารริมทางด้ายซ้ายมือของ ป้อมวิเชียรโชฎกนั่นเอง อัตราค่าโดยสารของเรือข้ามฟากจากฝั่งมหาชัยไปฝั่งท่าฉลอมก็คนละ ๓ บาท หรือถ้าจะนำมอเตอร์ไซค์ข้ามฝั่งก็เสียค่าเรือคันละประมาณ ๖ บาท ใช้เวลาประมาน ๑๐ นาทีก็จะถึงฝั่งท่าฉลอม ฝั่งท่าฉลอมจะคึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากตลอดยาวไปถึงสี่แยกเล็กๆ (เรือข้ามฟาก มหาชัยท่าฉลอม๒๕๕๔ออนไลน์)

                     
                    ภาพที่ ๒๖ มุมสูงท่าเรือรับลมมหาชัย
                   (ที่มา : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาคร๒๕๕๘หน้า ๘๑)

         
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประพาสต้นผ่านท่าฉลอมครั้งแรก
 สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัธยาศัยโปรดในการเสด็จประพาสมาก นับตั้งแต่พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาก็เสด็จประพาสทุกปี โดยเสด็จไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาจักรเขตบ้างเสด็จไปต่างประเทศบ้าง สำหรับการเสด็จประพาสหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาเขตนั้น บางคราวก็เสร็จไปเพื่อตรวจจัดการปกครองซึ่งเป็นการเสด็จแบบเป็นทางราชการ บางคราวก็เสด็จไปเพื่อสำราญพระราชชะอิริยาบถ และเพื่อนใกล้ชิดกับราษฎรที่เรียกกันว่า เสด็จประภาสต้น” ซึ่งไม่โปรดให้มีการรับเสด็จแบบทางราชการแต่ได้โปรดให้จัดการที่เสด็จไปให้ง่ายยิ่งกว่าเสด็จไปประพาสเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ คือไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองให้จัดทำที่ประทับแรม ณ ที่ใดๆ สุดแต่พอพระราชหฤทัยบางครั้งก็เสด็จโดยเรือเล็กๆ หรือโดยสารรถไฟปะปนกันไปกับสามัญชนโดยพยายามไม่ให้ใครรู้จักพระองค์ (เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า๓๐)

ภาพที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินท่าฉลอม
   (ที่มา เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒หน้า ๓๑)


การเสด็จประพาสต้นเริ่มมีเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ซึ่งได้เสด็จโดยทางเรือจากพระราชวังบางปะอินไปมณฑลราชบุรีแล้วย้อนกลับมามณฑลอยุธยา ซึ่งการเสด็จครั้งนี้ได้ผ่านเมืองสมุทรสาครทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับดังปรากฏใน จดหมายเหตุนายทรงอานุภาพเล่าถึงเรื่องประพาสต้น”   ซึ่ง นายทรงอานุภาพ” หรือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเขียนเล่าเรื่องการประพาสต้นถึงพ่อประดิษฐ์” 





ความเป็นมาบ้านท่าจีน (เมืองสาครบุรี)

 ภาพที่ ๖ แผนที่บ้านท่าจีนสมัยอยุธยา
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๖๘)

การกำเนิดของเมืองสาครบุรี หรือจังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบันนี้ปรากฏในพงศาวดารไทยรบพม่า พระราชนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเล่าไว้ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ดังนี้
"......เพื่อจะให้สะดวกแก่การเรียกหาผู้คนเวลาเกิดศึกสงคราม จึงให้ตั้งเมืองขึ้นใหม่อีก ๓ เมืองคือ บ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสาครบุรี บ้านตลาดขวัญเป็นเมืองนนทบุรี และให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรีตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี"
ประวัติศาสตร์สากล ของหลวงวิจิตรวาทาการ เล่ม ๓ กล่าวถึงการยกบ้านท่าจีนขึ้นเป็นเมืองสาครบุรีในแผ่นดินสมเด็จ พระมหาจักรพรรดิหลังจากสงครามกับเขมร (พ.ศ. ๒๐๙๙) ว่า
"....นอกจากการก่อสร้างมาแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิอย่างได้ตรวจบัญชีสำมะโนครัวราษฎรได้จำนวนชายฉะกันในมณฑลราชฑาถึงแสนเศษ แล้วจัดระเบียบการเรียกระดมพลให้สะดวกขึ้นกว่าแก่ก่อน ในการนี้ ให้ตั้งเมืองฉันเมืองชั้นในเพิ่มขึ้นหลายเมืองคือ ตั้งบ้านท่าจีนขึ้นเป็นเมืองสาครบุรีหนึ่ง......."
ในขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้กล่าวถึงตอนตั้งเมืองสาครบุรีไว้ว่า  " ให้เอาบ้านท่าจีนตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรีได้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรีตั้งเป็นนครชัยศรี...."
ความตรงกันว่า จังหวัดสมุทรสาครหรือสาครบุรี ได้ยกขึ้นเป็นเมืองและปรากฏอยู่ในพงศาวดารของชาติไทยตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นต้นมา (สมุทรสาคร, ๒๕๕๐,      หน้า๑๙)
ในสมัยพระนารายณ์มหาราช มีการบันทึกถึงเมืองท่าจีน  ในจดหมายเหตุของมองซีเออร์ เซเบเรต์ เอกอัคราชทูตฝรั่งเศสจากอยุธยาไปเมืองมะริดเมื่อวันที่ ๑๗ ถึง ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๒๓๐ เป็นบันทึกที่ลงวันเดือนปีอย่างละเอียดดีมาก เอกอัครราชทูตท่านนี้มาเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๓๐ - ๒๒๓๑ โดยเข้ามากลับลาลูแบร์ แต่มองซิเออร์ไปก่อนโดยลงเรือจากอยุธยามาบางกอก คลองด่าน ผ่านท่าจีนไปแม่กลองและเพชรบุรีจากนั้นเดินทางบอกผ่านปราณบุรี กุยบุรี เมืองแคลง ถึงตะนาวศรีโดยศาลเรือกำปั่นกับฝรั่งเศส

เมืองท่าจีนเป็นเมืองใหญ่ไกลจากบางกอกหนทางประมาณ ๘ ไมล์ และเป็นเมืองที่ขึ้นกับเมืองราชบุรีตั้งอยู่ริมลำน้ำซึ่งเป็นแม่น้ำที่งามน่าดูมา แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำลึกเรือขนาดมีระวางเพียง ๑๐๐ ตัน ขึ้นล่องได้สะดวกเวลาที่ข้าพเจ้าได้ไปถึงท่าจีนนั้น ก็มีเรือสำเภาจีนขนาด ๑๐๐ ตัน และเรือแขกมาลายูจอดอยู่ในแม่น้ำหลายลำ (สมุทรสาคร๒๕๕๐หน้า๒๑)
การจัดตั้งการสุขาภิบาลท่าฉลอม
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงดำเนินการปฏิรูประเบียบวิธีบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ได้ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่นขึ้นและจัดให้มีข้อบัญญัติเกี่ยวกับพระบรมราชานุภาพของพระมหากษัตริย์ของประเทศเช่นที่อารยประเทศได้ถือปฏิบัติและทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประชาชนพลเมืองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และทรงมอบหมายให้ไปศึกษาดูงาน การปกครองในแถบประเทศพม่า มลายู และแถบยุโรปเพื่อช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญลุล่วงตามทัศนคติใหม่ของระบอบการปกครองในประเทศตะวันตก
 ในระยะแรกพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการเปลี่ยนแปลง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน และกำนันเป็นผู้ได้รับเลือกมาจากประชาชนในท้องถิ่นจากที่เมื่อก่อนรัฐบาลจะเป็นผู้จัดตั้ง (สมุทรสาคร,  ๒๕๕๕, ออนไลน์)
ครั้นเมื่อกระทรวงมหาดไทยนำพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ หรือที่เรียกว่า พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. ๑๑๖ ออกใช้ ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ก็ได้มีบทบัญญัติกล่าวถึงการนครภิบาลไว้ด้วยใน ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ.๒๔๔๒)ด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มให้มีการจัดการบำรุงท้องถิ่นแบบสุขาภิบาลขึ้นในกรุงเทพฯขึ้น โดยถือได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อระบอบการปกครอง สืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโอกาสไปดูกิจการต่างๆ ในทวีปยุโรป แต่อย่างไรก็ตามความเจริญของประเทศและลักษณะปกครองของประเทศไทยก็ยังล้าหลังกว่าในประเทศตะวันตกมาก
สมเด็จฯ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในราชการและเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายสำหรับหัวเมืองในส่วนของภูมิภาค ก็ได้ทรงดำริที่จะดำเนินการตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตลอดมา การสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ได้เริ่มงานมาหลายปีแต่การจัดตั้งการสุขาภิบาลหัวเมืองยังไม่สามารถจะทำได้ เพราะเสด็จในกรมทรงเห็นว่าประชาชน ยังไม่พร้อมที่จะรับการปกครองระบอบใหม่ พระองค์ทรงต้องการที่จะให้ประชาชนมีความเข้าใจและเห็นคุณประโยชน์ของการสุขาภิบาลนี้ก่อน จนกระทั่งถึง ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงได้ทรงเริ่มงานจัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทรงเลือกเอาวิธีการสุขาภิบาลมาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปรับปรุงท้องถิ่นในตำบลท่าฉลอม ซึ่งในตอนนั้นตำบลท่าฉลอมอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม สกปรก รกรุงรังเป็นอย่างมาก จนไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงได้มีหนังสือตราพระราชสีห์น้อย ที่ ๒๐/๓๙๙๐ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๔ ถึงพระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร มีความตอนหนึ่งว่า
ด้วยเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกที่ประชุมเสนาบดี มีรับสั่งเล่าถึงที่ได้ไปประพาสเมืองนครเขื่อนขันธ์เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นถนน และตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์โสโครกมาก รับสั่งว่า สกปรกเหมือนตลาดท่าจีน ฉันนั่งอยู่ที่ประชุมรู้สึกละอายใจมาก ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์จะสกปรกหรือสะอาดก็ไม่ใช่ธุระของเรา แต่ความสกปรกของตลาดท่าจีนซึ่งสกปรกจริงสำหรับเป็นที่ยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่อื่นที่ไม่พอพระราชหฤทัยเช่นนี้ ก็เสมอกริ้วตลาดท่าจีนด้วยเหมือนกัน การเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกร้อนใจมาก เห็นว่าถ้าไม่คิดอ่านปัดกวาดจัดถนนในตลาดท่าจีนให้หายโสโครกแล้วจะเสียชื่อตั้งแต่ฉันตลอดจนผู้ว่าราชการเมืองและกำนันผู้ใหญ่บ้านในตลาดท่าจีน ซึ่งเป็นคนดี ๆที่ฉันรู้จักอยู่แทบทุกคน ถ้าตลาดท่าจีนยังสกปรกอยู่อย่างนี้ แม้ปีนี้เสด็จอีกก็เห็นจะไม่เสด็จตลาดและจะให้กำนันผู้ใหญ่บ้านในที่นั้นเฝ้าก็เห็นไม่ได้  ฉันมีความร้อนใจอย่างนี้ จึงได้มีตราฉบับนี้มายังพระยาพิไชยสุนทร เมื่อได้รับตราฉบับนี้แล้วขอให้เรียกกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ตลาดท่าจีนมาประชุมอ่านตราฉบับนี้ให้ฟังและปรึกษากันดูว่าจะควรทำอย่างไร อย่าให้พระเจ้าอยู่หัวทรงติเตียนได้” (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครม.ป.ปหน้า ๗๘)
เมื่อได้รับหนังสือตราพระราชสีห์น้อยฉบับนี้ พระยาพิไชยสุนทรได้เรียกประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลท่าฉลอมทั้งหมด เพื่อให้ทราบข้อบกพร่องและช่วยกันคิดอ่านแก้ไขในการที่ถูกติเตียนเช่นนี้ และควรจะทำอย่างไรไม่ให้พระเจ้าอยู่หัวทรงติเตียนได้อีกทั่งทรงตรัสว่า สำเร็จเมื่อใดจะออกไปดู  ในที่สุดผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านได้ชักชวนให้ประชาชนและพ่อค้าในตำบลท่าฉลอมร่วมมือช่วยกันสละเงินได้แก่การเรี่ยไร เพื่อนำมาปรับปรุงตลาดท่าจีนให้สะอาด ได้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕,๔๗๒ บาท โดยได้นำเงินจำนวนที่ได้มาทำเป็นถนนปูอิฐขนาด กว้าง ๒ วา     ได้ยาวถึง ๑๑ เส้น ๑๔ วา อีกทั้งจ้างคนปัดกวาด เทขยะมูลฝอย จนตลาดท่าจีนสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาก ผิดจากแต่ก่อนที่มีความสกปรก และรกรุงรัง ความสามัคคีและความเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาวบ้านท่าฉลอมในครั้งนั้นจึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
พระราชโองการ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๘) นับได้ว่าสุขาภิบาลท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศ
ส่วนการบริหารสุขาภิบาลท่าฉลอมชุดแรกนั้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกที่แต่งตั้งอีกรวม ๘ คน คือ
    ๑. หลวงพัฒนาการภักดี กำนันตำบลท่าฉลอม
    ๒. ขุนพิจารณ์นรกิจ (แดง มณีรัตน์) ผู้ใหญ่บ้านหัวบ้าน
    ๓. ขุนพินิจนรการ (ยี มีอำพล) ผู้ใหญ่บ้านท้ายบ้าน
    ๔. จีนฟัก
    ๕. จันศุข
    ๖. จีนเน่า
    ๗. จีนอู๊ด
    ๘. จีนโป๊ ผู้ใหญ่บ้าน
เมื่อทรงมีพระราชโองการประกาศจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลองและทรงประกอบพิธีตัดสายแพรเปิดถนนถวายแล้วจึงเสด็จประทับเรือพระที่นั่งมาฟังมหาชัยเสวยพระกระยาหารกลางวันที่พลับพลา หน้าป้อมวิเชียรโชฎก ซึ่งต่อมาเป็นที่ทำการเทศบาล หลังจากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ โดยรถไฟจากสถานีมหาชัยสู่สถานีคลองสาน ประทับเรือพระที่นั่งกลับพระบรมมหาราชวังและจากเหตุการณ์สำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงเปิดถนนถวายซึ่งลาดร่วมใจสร้างให้บ้านเมือง และโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม อันเป็นสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกของประเทศ ปฐมบทแห่งการปกครองท้องถิ่น รากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ ๑๘ มีนาคมเป็นวันท้องถิ่นไทยนับแต่นั้นมาทุกวันที่ ๑๘ มีนาคมของทุกปีทุกจังหวัดได้ร่วมถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรสาครม.ป.ปหน้า ๘๐

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ท่าฉลอมมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นจุดกำเนิด ของเมืองสมุทรสาครซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่เมื่อ ชาวจีนได้มาค้าขายและอพยพมาอยู่ที่บ้านท่าจีน (ท่าฉลอม)                และมีพัฒนาการความเป็นเมืองสำคัญขึ้นโดยลำดับจากการ เป็นเมืองสาครบุรีในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยาและเปลี่ยนมาเป็นเมืองสมุทรสาคร” ใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ ทรงปฏิรูปการปกครองเป็นรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัด ตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกของประเทศไทยขึ้นที่ตำบล ท่าฉลอมขึ้น ในครั้งนั้น ขาราชการ พ่อค้า ประชาราษฎร์ชาว               ทาฉลอมไดรวมใจกัน สรางถนนทูลเกลาฯ ถวายแดพระองค อนึ่งการที่ชาวตำบลท่าฉลอมได้สละที่ดินในเนื้อที่บ้านของตนบางส่วนอุทิศให้ทำเป็นถนนโดยเป็นถนนแบบปูอิฐแผ่นที่มีความยาวอย่างสวยงามนั้นความทราบถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ซึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดถนน และได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า ถนนถวายกระทรวงมหาดไทยได้ส่งเจ้ากรมมหาดไทยฝ่ายพลำภังไปประชุมปรึกษาหารือกับผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครกำนันผู้ใหญ่บ้าน พ่อค้าและราษฎรในบ้านตลาดท่าฉลอมในการจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมและขอความคิดเห็นในการปรับปรุงภาษีโรงร้าน และการใช้จ่ายเงินเพื่อการสุขาภิบาลปรากฏว่าได้รับความร่วมมือจากประชาชนในท้องที่เป็นอย่างดีเพราะปรากฏว่าการเก็บภาษีโรงร้านในตลาดท่าฉลอมได้เก็บตลอดทุกบ้านเรือนทั้งที่ทำการค้าขายและไม่ได้ค้าขายได้ค้าขาย
ท่าฉลอมเป็นที่เลืองลือมากในการที่ชาวบ้านได้เสียสละทรัพย์ของตนเองเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทยและพระบาทเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้มีรับสั่งให้ท่าฉลอมเป็นต้นแบบของการจัดตั้งสุขาภิบาล เป็นการแสดงให้เห็นถึงการมีประชาธิปไตยจากที่ได้มีการกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่นขึ้น ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเพื่อช่วย กันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญ

   
   ภาพที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ               
 พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ และพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ 
เสด็จพระราชดำเนิน ณ วัดสุทธิวาตวราราม
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๕๔ )

 ท่าฉลอมในอดีต
เรื่องสภาพทั่วๆไปที่ตำบลท่าฉลอมเมื่อสมัย ๓๐ – ๔๐ ปีที่แล้วของตำบลท่าฉลอมพบหลักฐานมาชิ้นหนึ่ง เป็นจดหมายของท่านขุนไมตรี ประชารักษ์ ซึ่งท่านเป็นเด็กที่ตำบลท่าฉลอม ตอนนี้ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านรับราชการก่อนเกษียณอายุในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จดหมายของท่านมีมาถึงคุณสุรินทร์ เทพกาญจนา นายกเทศมนตรีเมืองสมุทรสาครก่อนท่านถึงแก่กรรม
 เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงว่าบ้านเมืองในสมัยเมื่อก่อนว่า ระหว่าง ร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) มานั้น จังหวัดสมุทรสาครของเราทางฟากมหาชัยนี้ ข้างบนบกยังมีสวนเป็นป่าแสมและป่าจากมากแม้จะเป็นที่ตั้งเมือง ก็ยังอยู่ในลักษณะเพิ่งเริ่มก่อสร้างไว้ประปราย อาทิ สถานที่ราชการ และบ้านพักบ้างไม่กี่หลังถึงภายหลังจาก ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) ที่ได้มีประกาศพระราชทานอำนาจพิเศษ แก่บริษัทท่าจีนเรลเวกำปะนีทุนจำกัด และมีรถไฟสายกรุงเทพฯ – สมุทรสาคร เดินได้แล้ว เราขึ้นจากเรือเดินแต่ท่าน้ำไปสถานี ยังต้องเดินตามทางดินแคบๆ กันไป มีโรงเรือนหลังคาจากคล่อมดิน เป็นลักษณะโกโรโกโส กับโรงสูบฝิ่นรวมอยู่หย่อมหนึ่ง ที่แถวจะเข้าวัดใหม่ใกล้สถานีไม่กี่ห้องปี ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘)
จึงมีประกาศพระราชทานอำนาจพิเศษ ให้กับบริษัทรถไฟแม่กลองทุน จำกัด ดำเนินงานทางฝั่งท่าฉลอมไปสมุทรสงครามอีกตอน ๑ (ประกาศหนแรกลง ๒๘ ธันวาคม ร.ศ.๑๒๑ ประกาศหนหลังลง ๒๙ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๔) ส่วนความคับคั่งหนาแน่นของพลเมืองเวลานั้น เพราะนอกจากจะเป็นทำเลอุดมสมบรูณ์ ด้วยการประกอบอาชีพประมงดองปลาทำกะปิน้ำปลา กันอยู่อย่างแออัดแล้ว ยังมีตลาดท้องน้ำตอนเช้า มีตลาดสดบนบก มีบ่อนเบี้ยเล่นถั่งโป มีโรงฝิ่นโรงเหล้า ตลอดจนโรงคนชั่วและวิกลิเกครึกครื้นกันหนักหนาด้วย (เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๖๗)
บ้านท่าฉลอมมีทางเดินเพียงอาศัยผ่านที่บ้านเจ้าของแบบสันดินเตี้ยๆ แคบๆ ไว้หาบคานหลีกกันได้เท่านั้น เจ้าของผู้ครอบครองก็ใช้สิทธิมุงหลังคาคร่อมไว้ ลำบากแก่การป้องกันและดูแลเรื่องไฟไหม้ จึงวางวิธีการแก้ไขโดยช่วยกันเดินชี้แจงขอร้องตามชาวบ้าน ซึ่งส่วนมากก็เป็นญาติ และเป็นเพื่อนพ้องที่สนิทสนมกัน ทุกคนยินยอมและให้ขยายทางได้โดยทำเป็นถนนสาธารณะ กว้างออกไปได้บ้าง จึงได้เรี่ยไรเงินช่วยกันมอบให้ทางราชการ ใช้นักโทษช่วยกันปูอิฐเรียงทำถนน เจ้าของที่ก็ยินยอมให้เป็นที่สาธารณะและจะไม่สร้างหลังคามาคุมทางอีก
การเรียงอิฐถนนนี้ทำตลอดได้แม้จะอยู่ในช่วงที่มีการเกิดไฟไหม้  และทำต่อขึ้นไปทางหัวบ้าน อีกเล็กน้อยคือสุดแค่คลองตาพลึง ส่วนที่คลองนั้นก็ได้รื้อกระดานทอดแผ่นใหญ่ ๒ แผ่นออก แล้วทำเป็นสะพานทาสีสวยงามขึ้นแทนด้วย ที่ป้ายเขียนว่า ถนนถวาย” ปักไว้ที่หัวถนนและท้ายถนนด้วยทางราชการได้กราบบังคมทูลเชิญพระสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเพื่อเสด็จราชดำเนินเยี่ยมราษฎรด้วย                
ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูล เรียนปฏิบัติให้ทรงทราบถึงความสกปรก และกลิ่นหมักเหม็นของสภาพท่าฉลอม ซึ่งน่าเป็นห่วงต่อความไม่ปลอดภัยอันตรายในโรคภัยอย่างยิ่งด้วย ประกอบกับในปี ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) นั้นเอง ในกรุงเทพฯพระมหานครก็เกิดกาฬโรคระบาด จนถึงกรมสุขาภิบาลต้องออกประกาศลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓ บังคับให้ประชาชนกำจัดสิ่งโสโครกและการจัดการบ้านเรือนกันให้สะอาด ก็เมื่อจังหวัดสมุทรสาครของเราอยู่ใกล้ชิดอีกทั้งชาวบ้านก็ไปมาถึงกันคลุกเคล้าอยู่ (เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า๖๘)
          ตำบลท่าฉลอมเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นมีความเจริญทางการค้ากับหัวเมืองต่างๆเป็นแหล่งประมงและผลิตอาหารทะเล รวมถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการเป็นเมืองท่าชายทะเล มีความปลอดภัยจากขึ้นลมเหมาะกับการขนส่งถ่ายสินค้าจากบริเวณปากแม่น้ำท่าจีนสู่สุพรรณและอยุธยา  โดยในอดีตมีหลักฐานปรากฏในช่วงเวลาต่อมา 
คาดว่าตำบลท่าฉลอมเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมืองท่าจีน ชุมชนมีประชากรหนาแน่นอาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก ระยะตั้งแต่บริเวณวัดช่องลม (วัดสุทธิวาตวราราม) ไปถึงบริเวณวัดแหลม (วัดแหลมสุวรรณาราม)
กล่าวได้ว่าท่าฉลอมมีกำเนิดความเป็นมาในสมัยประวัติศาสตร์เป็นเนื้อเดียวกันกลับบ้านท่าจีนหรือเมืองสาครบุรี ซึ่งมีการบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นราชธานี (สมุทรสาคร, ๒๕๕๐หน้า๑๕)


ภาพที่ ๒ รถไฟจักรไอน้ำ (ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐)
(ที่มา เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๖๙) 


              
ภาพที่ ๓ คหบดีของตำบลท่าฉลอมในอดีต
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๗๐)

การปกครอง
ในสมัยก่อนตำบลท่าฉลอมเป็นตำบลที่เจริญที่สุดในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงแม้สถานที่ราชการและศาลากลางจังหวัดจะรวมกันอยู่ที่ตำบลมหาชัยก็ตาม แต่ตำบลมหาชัยมีความเจริญน้อยกว่าตำบลท่าฉลอมมาก ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ความเจริญของตำบลมหาชัยปัจจุบันนี้ยังสู้ความเจริญของตำบลท่าฉลอมเมื่อสมัยก่อนไม่ได้ มหาชัยเมื่อสมัยก่อนนั้นมีสภาพเป็นป่ามากกว่าเมืองมีความเจริญเป็นบางพื้นที่เท่านี้
ในสมัยก่อนไม่มีการปกครองระบอบเทศบาลเหมือนในปัจจุบัน โดยตำบลท่าฉลอมจะแบ่งหมู่บ้านออกเป็น ๖ หรือ ๘ หมู่บ้าน มีท่านขุนสมุทรมณีรัตน์เป็นกำนันประจำตำบล  ในระยะนั้นบ่อนถั่วบ่อนโปที่ผูกขาดกับทางการล้มเลิกไปแล้ว อาชีพส่วนใหญ่คือการประมง ดองปลา การทำกะปิน้ำปลา จะมีการค้าขายบ้างอยู่บริเวณตลาด จะเห็นไม้ไผ่ปลูกเป็นร่างร้านสำหรับตากอวน ซึ่งเรียกกันว่า "ราวอวน" ระเกะระกะ ไปหมดเกือบทุกบ้านเมื่อมีการตากอ้วนการจะดูสวยงามเป็นธรรมชาติของชนบทจริงๆ สภาพบ้านเมืองดังกล่าวจางหายไปเมื่อเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ พ.ศ. ๒๔๘๑ เพลิงไหม้ครั้งนั้นทำความเสียหายเป็นอย่างมาก

              
               ภาพที่ ๔ เรือโป๊ะและราวตากวอน พ.ศ. ๒๕๐๐
             (ที่มา เทศบาลนครสมุทรสาคร๒๕๕๒หน้า ๗๒)

การแต่งกาย
การแต่งกายของชาวท่าฉลอมสมัยก่อน ผู้ชายจะนุ่งกางเกงจีนส่วนมากไม่ใส่เสื้อมีผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าคนที่มีอายุมากๆก็จะนุ่งโสร่ง ไม่สวมรองเท้าส่วนมากจะเดินเท้าเปล่า แต่ถ้าจะใช้รองเท้าก็เป็นรองเท้าไม้ ถ้าวันสำคัญจะแต่งอีกแบบหนึ่ง เช่น นุ่งกางเกงแพรสวมเสื้อปล่อยชาย ส่วนผู้หญิงนั้นยังสาวรุ่นๆ ที่พอจะมีส่วนเว้าส่วนโค้งหรือส่วนนูน แล้วก็จะนุ่งผ้าถุงหรือผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อตัวเดียวเป็นทั้งชั้นในและชั้นนอก เป็นเสื้อคอกระเช้าไม่มีแขนมีแถบผ้ากว้างประมาณครึ่งนิ้ว ทำเป็นสายคล้องไหล่รอบคอเป็นลูกไม้ ซึ่งทักกันเองอวดลวดลายต่างๆ เสื้อดังกล่าวเรียกกันว่า เสื้อคอลูกไม้
การครองชีพ
การครองชีพในสมัยก่อนค่าเงินของสมัยก่อนนั้น แพงกว่าเดี๋ยวนี้เงิน ๑ บาท ก็สามารถจะเลี้ยงเพื่อนฝูงได้ ๕ – ๖ คน เสื้อผ้าตัวละไม่เกิน ๑ บาท กางเกงขาสั้นผ้าอย่างดีตราเรือบินตัดตัวละ ๓ บาท ปลูกบ้านอย่างธรรมดาๆ ฝาไม้กระดานหลังคาจากหลังไม่เกิน ๒๐๐ บาท ถ้าจะปลูกอย่างดีสองชั้นฝาไม้ กระดานหลังคากระเบื้องขนาดสองถึงสามห้องนอนราคาไม่เกิน  ๑๐๐๐ บาทเด็กเด็กสมัยนั้นหาลำไผ่ง่ายรับจ้างแกะเหงือกควักไส้ปลาทูสักพักใหญ่ๆก็จะได้ค่าจ้าง ๖ - ๗ สตางค์

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร
สมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเล ตั้งอยู่ปากแม่น้ำท่าจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ในอดีตมีชุมชนใหญ่เรียกว่า "บ้านท่าจีน" ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๐๙๙) พระองค์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกบ้านท่าจีนขึ้นเป็น เมืองสาครบุรี เพื่อเป็นหัวเมืองสำหรับเรียกระดมพลเวลาเกิดสงครามและเป็นเมืองด่านหน้าป้องกันผู้รุกรานทางทะเล ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปลี่ยนชื่อเมืองสาครบุรีเป็น เมืองสมุทรสาคร และในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร เมืองสมุทรสาครจึงได้เปลี่ยนเป็น จังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
มาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรด ให้เปลี่ยนชื่อ เมืองสาครบุรีเป็น เมืองสมุทรสาครซึ่งมีความหมายว่า เมืองแห่งทะเลและแม่น้ำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ทรงปฏิรูปการปกครองมีการจัดระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นมณฑลเทศาภิบาล และได้ทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ท้องถิ่น โดยใช้รูปแบบการปกครองแบบสุขาภิบาล จึงได้มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะ ตำบลท่าฉลอมเป็น สุขาภิบาลท่าฉลอมจังหวัดสมุทรสาคร เป็นสุขาภิบาลที่ตั้งขึ้นในหัวเมืองเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๕๖) โปรดเกล้าให้ทางราชการเปลี่ยนคำว่า เมืองเป็น จังหวัดทั่วทุกแห่ง ในพระราชอาณาจักร เมืองสมุทรสาครจึงได้เปลี่ยนเป็น จังหวัดสมุทรสาครมาจวบจนปัจจุบันนี้
ส่วนคำว่า มหาชัยที่คนทั่วไปชอบเรียกกันนั้น เป็นชื่อคลองที่สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ แห่งกรุงศรีอยุธยาโปรดให้ขุดคลองลัดจากเมืองธนบุรี เป็นแนวตรงไปออกปากน้ำเมืองสาครบุรีแทนคลองโคกขามที่คดเคี้ยว แต่ยังไม่ทันเสร็จทรงสวรรคตเสียก่อน จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๙ (ขุนหลวงท้ายสระ) ได้โปรดให้ขุดคลองต่อจนแล้วเสร็จ และได้พระราชทานนามว่าคลองมหาชัย ซึ่งต่อมา ณ บริเวณฝั่งซ้ายปากคลองได้เกิดชุมชนขนาดใหญ่ขึ้นชื่อว่า มหาชัยจึงเป็นที่นิยมเรียกขานแต่นั้นเป็นต้นมา (สำนักงานจังหวัดสมุทรสาคร, ๒๕๕๗, ออนไลน์)
จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดที่ติดชายทะเลอ่าวไทย มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านกลางจังหวัด เป็นจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยประมาณเส้นรุ้งที่ ๑๓ องศาเหนือ และเส้นแวงที่ ๑๐๐ องศาตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑล มีพื้นที่ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขุนเทียนของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ ๘๗๒.๓๔๗ ตารางกิโลเมตร
 อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ        ติดกับอำเภอสามพราน (จังหวัดนครปฐม)                                      
ทิศตะวันออก   ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขุนเทียน (กรุงเทพมหานคร)
ทิศใต้             ติดกับอ่าวไทย
ทิศตะวันตก     ติดกับอำเภอบางแพ อำเภอดำเนินสะดวก (จังหวัดราชบุรี) และอำเภอเมืองสมุทรสงคราม (จังหวัดสมุทรสงคราม)
จังหวัดสมุทรสาครแบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๓ อำเภอ ๔๐ ตำบล และ ๒๙๐ หมู่บ้าน
 สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคร
      
                                    
ภาพที่ ๑ ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคร
 (ที่มา : http://www.samutsakhon.go.th)

ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคร เป็นรูปเรือสำเภาจีนแล่นในทะเล ด้านหลังเป็นโรงงานและปล่องไฟ ซึ่งหมายถึง ความรุ่งเรืองที่มีมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ตราประจำจังหวัดสมุทรสาคเริ่มใช้เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๓ ในสมัยที่หลวงวิเศษภักดี (ชื้น วิเศษภักดี) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
ต้นไม้ประจำจังหวัด: พญาสัตบรรณ (Alstonia scholaris)



        




ปฐมบทสุขาภิบาลท่าฉลอม ภาพที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดแพรเปิดถนนถวาย (ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร ,  ๒๕๕...