ภาพที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดแพรเปิดถนนถวาย
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า-)
ในปีร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชดำริในการกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่นขึ้น โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ “พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. ๑๑๖” และได้เริ่มทำการทดลองเพื่อเป็นการศึกษาขึ้นในกรุงเทพมหานคร
หน้าที่ของสุขาภิบาลชั้นต้น
๖.๑.๑ การทำลายขยะมูลฝอย
๖.๑.๒ การจัดเก็บที่ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะของประชาชนทั่วไป
๖.๑.๓ จัดการอย่าให้ปลูกสร้างหรือซ่อมโรงเรือนที่จะเป็นเหตุให้เกิดโรค
๖.๑.๔ การขนย้ายสิ่งของโสโครกและสิ่งสำเน่าเหม็นของมหาชนให้พ้นไป
การบริหารงานของสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นี้ดำเนินการโดยเข้าจัดการทั้งหมดประกอบด้วยกรมสุขาภิบาลสังกัดกระทรวงนครบาลเป็นเจ้าหน้าที่โดยใช้วิธีประชุมกันเป็นครั้งคราวไป จากการกำหนดนัดหมายของเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าเห็นสมควรเมื่อใด ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนายแพทย์สุขาภิบาล พนักงานช่างใหญ่ สุขาภิบาลเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเมื่อพิจารณารูปแบบการปกครองแล้ว จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าสุขาภิบาลกรุงเทพ ร.ศ. ๑๑๖ เป็นการปกครองท้องถิ่นเนื่องจากประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใดเป็นการดำเนินการโดยข้าราชการทั้งหมดและใช้จ่ายจากงบประมาณส่วนกลาง... แต่สุขาภิบาลท่าฉลองหาเป็นเช่นนั้นไม่มีความสมบูรณ์ในรูปแบบการกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นมากกว่าและทรงประกาศด้วยพระองค์เอง
ทรงพระราชทานโอกาสให้ประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นเป็นครั้งแรกโดยเหตุที่มาจากคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพในฐานะผู้รับผิดชอบเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่ทรงได้รับพระราชปรารถตำหนิจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองนครเขื่อนขันฑ์ ทอดพระเนตรสภาพตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์สกปรกมากจากนั้นได้ทรงมีพระราชดำรัสในที่ประชุมเสนาบดีว่าโสโครกเหมือนกับตราท่าจีน (คือตลาดท่าฉลอม) ซึ่งเคย เสด็จประภาสต้นในปีพ.ศ. ๒๔๔๗ จึงเป็นมูลเหตุให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพร้อนพระทัยมากทรงคิดหาวิธีการพัฒนาตำบลท่าฉลอม ร่วมกับพระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครดังหลักฐานปรากฏประวัติศาสตร์ทางการปกครองดังนี้ (เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า๓๑)
ทรงพระราชทานโอกาสให้ประชาชน ที่มีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นเป็นครั้งแรกโดยเหตุที่มาจากคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพในฐานะผู้รับผิดชอบเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่ทรงได้รับพระราชปรารถตำหนิจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองนครเขื่อนขันฑ์ ทอดพระเนตรสภาพตลาดเมืองนครเขื่อนขันธ์สกปรกมากจากนั้นได้ทรงมีพระราชดำรัสในที่ประชุมเสนาบดีว่าโสโครกเหมือนกับตราท่าจีน (คือตลาดท่าฉลอม) ซึ่งเคย เสด็จประภาสต้นในปีพ.ศ. ๒๔๔๗ จึงเป็นมูลเหตุให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพร้อนพระทัยมากทรงคิดหาวิธีการพัฒนาตำบลท่าฉลอม ร่วมกับพระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครดังหลักฐานปรากฏประวัติศาสตร์ทางการปกครองดังนี้ (เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า๓๑)
อนึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จแก่ ข้าราชการเมืองสมุทรสาคร ความชอบที่ได้จัดการสุขาภิบาลตำบลท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครคือพระราชทานเครื่องอิศริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ ๔ ภูษนาภรณ์แก่พระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครดวงหนึ่งและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยทำประทวนตราพระสีห์ ตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครซึ่งได้เกี่ยวข้องจัดการสุขาภิบาลด้วยดังนี้คือ
๑. ขุนประเทศภักดี (หรั่ง) กำนันตำบลท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร เป็นหลวงพัฒนการภักดีตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๔๐๐ ไร่
๒. จีนเบียน กรมการพิเศษเมืองสมุทรสาครเป็นคนพิจิตรนรการ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
๓. จีนแดง ผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครถือศักดินาเป็นขุนพิจารณ์นรกิจ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
๔. จีนยี้ ผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมเมืองสมุทรสาครเป็นคุณพินิจนรการ ตำแหน่งกรมการเมืองสมุทรสาครถือศักดินา ๓๐๐ ไร่
หลังจากเสด็จเปิดถนนถวายแล้วได้พระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ทางช้างเผือกชั้นที่ ๔ ภูษนาภรณ์แก่พระยาพิไชยสุนทรผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาครและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยทำประทวนตราพระราชสีห์ ตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านท่าฉลอมที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสุขาภิบาลครั้งนี้ด้วย
การบริหารงานสุขาภิบาลเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจริงจังขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อมีพระราชวงศ์การประกาศแก้ภาษีโรงร้านจัดการสุขาภิบาลที่ตลาดท่าฉลอมโดยยกเงินภาษีโรงร้านที่เก็บได้ในพื้นที่นี้พระราชทานให้ไว้สำหรับการรักษาซ่อมแซมถนนหนทางการจุดโคมและรักษาความสะอาดซึ่งเรียกรวมกันว่าการสุขาภิบาลมีโครงสร้างเบื้องต้นดังนี้
๑. มีการตัดเขตสุขาภิบาลที่ แน่ชัดดำเนินการโดยเทศาภิบาลเป็นผู้กำหนดท้องที่ที่จะได้รับประโยชน์จากสุขาภิบาลนี้
๒. เริ่มเก็บภาษีโรงร้านตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๒๕ เป็นต้นไป กล่าวคือ บ้านเรือน โรงที่ใช้เก็บสินค้าหรือค้าขายให้เก็บภาษีโรงร้านปีหนึ่งห้องละ ๓ บาทหากมิได้เก็บสินค้าหรือค้าขายเก็บปีหนึ่งห้องละ ๖ บาท
๓. ภาษีนี้หักค่าใช้จ่ายเพียงค่าจัดเก็บภาษีเท่านั้นที่เหลือให้นำไปใช้ในกิจการสุขาภิบาลทั้งหมด
๔. ควรใช้เงินภาษีลงร้านในขอบเขต ๔ ประการคือ
๔.๑ การซ่อมแซมรักษา ถนนหนทางในเขตสุขาภิบาลให้ผู้คนสัญจรไปมาได้สะดวก
๔.๒ รักษาความสะอาดในเขตสุขาภิบาล
๔.๓ การจัดคงไปตามถนนในเขตสุขาภิบาลให้คนเดินไปมาในเวลาค่ำคืนได้สะดวก
๔.๔ การอย่างอื่นอันเป็นประโยชน์สำหรับบำรุงความสุขสำราญของมหาชนในที่อันนั้น
๕. ผู้รับผิดชอบดำเนินงานสภาภิบาลคือกำนันในฐานะนายตำบลของตลาดท่าฉลอมเป็นประธานและผู้ใหญ่บ้านในเขตท้องที่เป็นกรรมการช่วยกันบริหารงาน
๖. อำนาจหน้าที่ของกรรมการสุขาภิบาลแห่งแรกนี้ประกอบด้วย
ก. จัดการสุขาภิบาลในเขตรับผิดชอบได้ทุกเรื่องตามคำอนุมัติของเทศาภิบาล
ข. มีอำนาจหน้าที่จะจ่ายเงินอันได้รับพระราชทานและพระบรมราชานุญาต โดยคณะกรรมการเห็นชอบสำหรับใช้ในกิจการสุขาภิบาลได้ตามสมควรเจ็ดเทศาภิบาลมีอำนาจที่จะตรวจและแนะนำการดำเนินการโดยสามารถทักท้วงห้ามปรามหากทำผิดระเบียบทางราชการ
สุขาภิบาลท่าฉลอมจึงนับเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับพระบรมราชานุ-สาวรีย์ พระเจ้าอยู่หัวให้ดำเนินการได้ซึ่งได้เป็นแม่แบบแก่สุขาภิบาลแห่งอื่น ในเวลาต่อมากรรมการสุขาภิบาลชุดแรกในประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทยเกิดขึ้น
ดังนั้นในปีพ.ศ. ๒๔๕๑ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลพ.ศ. ๒๔๕๑ (ร.ศ. ๑๒๗) ขึ้นนับเป็นกฎหมายฉบับแรกที่วางรูปแบบของสุขาภิบาลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแบ่งสุขาภิบาลเป็น ๒ ประเภทคือ
๑. สุขาภิบาลสำหรับหัวเมืองจัดตั้งขึ้นในท้องที่อันเป็นที่ตั้งของเมือง
๒. สุขาภิบาลสำหรับตำบลจัดตั้งในท้องที่อันเป็นชุมชนใหญ่ๆ ในตำบลนั้นๆ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสุขาภิบาลท้องที่) วิธีการจัดตั้งสุขาภิบาลนั้นกำหนดขึ้นโดยข้าหลวงเทศาภิบาลเห็นควรตั้งขึ้น ณ ที่ใดก็จะหารือกับกำนันผู้ใหญ่บ้านในท้องที่นั้นร่วมกันพิจารณาหากมี มติเห็นชอบก็ให้มีใบบอกกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อดำเนินการดังที่สุขาภิบาลท่าฉลอมกระทำและมีคณะกรรมการสุขาภิบาล ๙ คนโดยมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นประธานสุขาภิบาล ได้พัฒนาการขึ้นเป็นลำดับมีการเพิ่มภารกิจและหน้าที่อย่างมากยิ่งขึ้น มีอำนาจบังคับตามกฏหมายหลายประการและเริ่มขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
(เทศบาลนครสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า๕๒-๕๓)
(เทศบาลนครสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า๕๒-๕๓)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น