ท่าฉลอมในอดีต
เรื่องสภาพทั่วๆไปที่ตำบลท่าฉลอมเมื่อสมัย ๓๐ – ๔๐ ปีที่แล้วของตำบลท่าฉลอมพบหลักฐานมาชิ้นหนึ่ง เป็นจดหมายของท่านขุนไมตรี ประชารักษ์ ซึ่งท่านเป็นเด็กที่ตำบลท่าฉลอม ตอนนี้ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านรับราชการก่อนเกษียณอายุในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จดหมายของท่านมีมาถึงคุณสุรินทร์ เทพกาญจนา นายกเทศมนตรีเมืองสมุทรสาครก่อนท่านถึงแก่กรรม
เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงว่าบ้านเมืองในสมัยเมื่อก่อนว่า ระหว่าง ร.ศ.๑๑๙ (พ.ศ.๒๔๔๓) มานั้น จังหวัดสมุทรสาครของเราทางฟากมหาชัยนี้ ข้างบนบกยังมีสวนเป็นป่าแสมและป่าจากมากแม้จะเป็นที่ตั้งเมือง ก็ยังอยู่ในลักษณะเพิ่งเริ่มก่อสร้างไว้ประปราย อาทิ สถานที่ราชการ และบ้านพักบ้างไม่กี่หลังถึงภายหลังจาก ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) ที่ได้มีประกาศพระราชทานอำนาจพิเศษ แก่บริษัทท่าจีนเรลเวกำปะนีทุนจำกัด และมีรถไฟสายกรุงเทพฯ – สมุทรสาคร เดินได้แล้ว เราขึ้นจากเรือเดินแต่ท่าน้ำไปสถานี ยังต้องเดินตามทางดินแคบๆ กันไป มีโรงเรือนหลังคาจากคล่อมดิน เป็นลักษณะโกโรโกโส กับโรงสูบฝิ่นรวมอยู่หย่อมหนึ่ง ที่แถวจะเข้าวัดใหม่ใกล้สถานีไม่กี่ห้องปี ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘)
จึงมีประกาศพระราชทานอำนาจพิเศษ ให้กับบริษัทรถไฟแม่กลองทุน จำกัด ดำเนินงานทางฝั่งท่าฉลอมไปสมุทรสงครามอีกตอน ๑ (ประกาศหนแรกลง ๒๘ ธันวาคม ร.ศ.๑๒๑ ประกาศหนหลังลง ๒๙ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๔) ส่วนความคับคั่งหนาแน่นของพลเมืองเวลานั้น เพราะนอกจากจะเป็นทำเลอุดมสมบรูณ์ ด้วยการประกอบอาชีพประมง, ดองปลา, ทำกะปิ, น้ำปลา กันอยู่อย่างแออัดแล้ว ยังมีตลาดท้องน้ำตอนเช้า มีตลาดสดบนบก มีบ่อนเบี้ยเล่นถั่งโป มีโรงฝิ่นโรงเหล้า ตลอดจนโรงคนชั่วและวิกลิเกครึกครื้นกันหนักหนาด้วย (เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า ๖๗)
บ้านท่าฉลอมมีทางเดินเพียงอาศัยผ่านที่บ้านเจ้าของแบบสันดินเตี้ยๆ แคบๆ ไว้หาบคานหลีกกันได้เท่านั้น เจ้าของผู้ครอบครองก็ใช้สิทธิมุงหลังคาคร่อมไว้ ลำบากแก่การป้องกันและดูแลเรื่องไฟไหม้ จึงวางวิธีการแก้ไขโดยช่วยกันเดินชี้แจงขอร้องตามชาวบ้าน ซึ่งส่วนมากก็เป็นญาติ และเป็นเพื่อนพ้องที่สนิทสนมกัน ทุกคนยินยอมและให้ขยายทางได้โดยทำเป็นถนนสาธารณะ กว้างออกไปได้บ้าง จึงได้เรี่ยไรเงินช่วยกันมอบให้ทางราชการ ใช้นักโทษช่วยกันปูอิฐเรียงทำถนน เจ้าของที่ก็ยินยอมให้เป็นที่สาธารณะและจะไม่สร้างหลังคามาคุมทางอีก
การเรียงอิฐถนนนี้ทำตลอดได้แม้จะอยู่ในช่วงที่มีการเกิดไฟไหม้ และทำต่อขึ้นไปทางหัวบ้าน อีกเล็กน้อยคือสุดแค่คลองตาพลึง ส่วนที่คลองนั้นก็ได้รื้อกระดานทอดแผ่นใหญ่ ๒ แผ่นออก แล้วทำเป็นสะพานทาสีสวยงามขึ้นแทนด้วย ที่ป้ายเขียนว่า “ถนนถวาย” ปักไว้ที่หัวถนนและท้ายถนนด้วยทางราชการได้กราบบังคมทูลเชิญพระสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเพื่อเสด็จราชดำเนินเยี่ยมราษฎรด้วย
ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูล เรียนปฏิบัติให้ทรงทราบถึงความสกปรก และกลิ่นหมักเหม็นของสภาพท่าฉลอม ซึ่งน่าเป็นห่วงต่อความไม่ปลอดภัยอันตรายในโรคภัยอย่างยิ่งด้วย ประกอบกับในปี ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) นั้นเอง ในกรุงเทพฯพระมหานครก็เกิดกาฬโรคระบาด จนถึงกรมสุขาภิบาลต้องออกประกาศลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๓ บังคับให้ประชาชนกำจัดสิ่งโสโครกและการจัดการบ้านเรือนกันให้สะอาด ก็เมื่อจังหวัดสมุทรสาครของเราอยู่ใกล้ชิดอีกทั้งชาวบ้านก็ไปมาถึงกันคลุกเคล้าอยู่ (เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า๖๘)
ตำบลท่าฉลอมเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นมีความเจริญทางการค้ากับหัวเมืองต่างๆเป็นแหล่งประมงและผลิตอาหารทะเล รวมถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการเป็นเมืองท่าชายทะเล มีความปลอดภัยจากขึ้นลมเหมาะกับการขนส่งถ่ายสินค้าจากบริเวณปากแม่น้ำท่าจีนสู่สุพรรณและอยุธยา โดยในอดีตมีหลักฐานปรากฏในช่วงเวลาต่อมา
คาดว่าตำบลท่าฉลอมเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมืองท่าจีน ชุมชนมีประชากรหนาแน่นอาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก ระยะตั้งแต่บริเวณวัดช่องลม (วัดสุทธิวาตวราราม) ไปถึงบริเวณวัดแหลม (วัดแหลมสุวรรณาราม)
คาดว่าตำบลท่าฉลอมเป็นศูนย์กลางความเจริญของเมืองท่าจีน ชุมชนมีประชากรหนาแน่นอาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก ระยะตั้งแต่บริเวณวัดช่องลม (วัดสุทธิวาตวราราม) ไปถึงบริเวณวัดแหลม (วัดแหลมสุวรรณาราม)
กล่าวได้ว่าท่าฉลอมมีกำเนิดความเป็นมาในสมัยประวัติศาสตร์เป็นเนื้อเดียวกันกลับบ้านท่าจีนหรือเมืองสาครบุรี ซึ่งมีการบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นราชธานี (สมุทรสาคร, ๒๕๕๐, หน้า๑๕)
ภาพที่ ๒ รถไฟจักรไอน้ำ (ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐)
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า ๖๙)
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า ๖๙)
ภาพที่ ๓ คหบดีของตำบลท่าฉลอมในอดีต
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า ๗๐)
การปกครอง
ในสมัยก่อนตำบลท่าฉลอมเป็นตำบลที่เจริญที่สุดในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงแม้สถานที่ราชการและศาลากลางจังหวัดจะรวมกันอยู่ที่ตำบลมหาชัยก็ตาม แต่ตำบลมหาชัยมีความเจริญน้อยกว่าตำบลท่าฉลอมมาก ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ความเจริญของตำบลมหาชัยปัจจุบันนี้ยังสู้ความเจริญของตำบลท่าฉลอมเมื่อสมัยก่อนไม่ได้ มหาชัยเมื่อสมัยก่อนนั้นมีสภาพเป็นป่ามากกว่าเมืองมีความเจริญเป็นบางพื้นที่เท่านี้
ในสมัยก่อนไม่มีการปกครองระบอบเทศบาลเหมือนในปัจจุบัน โดยตำบลท่าฉลอมจะแบ่งหมู่บ้านออกเป็น ๖ หรือ ๘ หมู่บ้าน มีท่านขุนสมุทรมณีรัตน์เป็นกำนันประจำตำบล ในระยะนั้นบ่อนถั่วบ่อนโปที่ผูกขาดกับทางการล้มเลิกไปแล้ว อาชีพส่วนใหญ่คือการประมง ดองปลา การทำกะปิน้ำปลา จะมีการค้าขายบ้างอยู่บริเวณตลาด จะเห็นไม้ไผ่ปลูกเป็นร่างร้านสำหรับตากอวน ซึ่งเรียกกันว่า "ราวอวน" ระเกะระกะ ไปหมดเกือบทุกบ้านเมื่อมีการตากอ้วนการจะดูสวยงามเป็นธรรมชาติของชนบทจริงๆ สภาพบ้านเมืองดังกล่าวจางหายไปเมื่อเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ พ.ศ. ๒๔๘๑ เพลิงไหม้ครั้งนั้นทำความเสียหายเป็นอย่างมาก
ภาพที่ ๔ เรือโป๊ะและราวตากวอน พ.ศ. ๒๕๐๐
(ที่มา : เทศบาลนครสมุทรสาคร, ๒๕๕๒, หน้า ๗๒)
การแต่งกาย
การแต่งกายของชาวท่าฉลอมสมัยก่อน ผู้ชายจะนุ่งกางเกงจีนส่วนมากไม่ใส่เสื้อมีผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าคนที่มีอายุมากๆก็จะนุ่งโสร่ง ไม่สวมรองเท้าส่วนมากจะเดินเท้าเปล่า แต่ถ้าจะใช้รองเท้าก็เป็นรองเท้าไม้ ถ้าวันสำคัญจะแต่งอีกแบบหนึ่ง เช่น นุ่งกางเกงแพรสวมเสื้อปล่อยชาย ส่วนผู้หญิงนั้นยังสาวรุ่นๆ ที่พอจะมีส่วนเว้าส่วนโค้งหรือส่วนนูน แล้วก็จะนุ่งผ้าถุงหรือผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อตัวเดียวเป็นทั้งชั้นในและชั้นนอก เป็นเสื้อคอกระเช้าไม่มีแขนมีแถบผ้ากว้างประมาณครึ่งนิ้ว ทำเป็นสายคล้องไหล่รอบคอเป็นลูกไม้ ซึ่งทักกันเองอวดลวดลายต่างๆ เสื้อดังกล่าวเรียกกันว่า เสื้อคอลูกไม้
การครองชีพ
การครองชีพในสมัยก่อนค่าเงินของสมัยก่อนนั้น แพงกว่าเดี๋ยวนี้เงิน ๑ บาท ก็สามารถจะเลี้ยงเพื่อนฝูงได้ ๕ – ๖ คน เสื้อผ้าตัวละไม่เกิน ๑ บาท กางเกงขาสั้นผ้าอย่างดีตราเรือบินตัดตัวละ ๓ บาท ปลูกบ้านอย่างธรรมดาๆ ฝาไม้กระดานหลังคาจากหลังไม่เกิน ๒๐๐ บาท ถ้าจะปลูกอย่างดีสองชั้นฝาไม้ กระดานหลังคากระเบื้องขนาดสองถึงสามห้องนอนราคาไม่เกิน ๑๐๐๐ บาทเด็กเด็กสมัยนั้นหาลำไผ่ง่ายรับจ้างแกะเหงือกควักไส้ปลาทูสักพักใหญ่ๆก็จะได้ค่าจ้าง ๖ - ๗ สตางค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น